10 เรื่องสุดลี้ลับในประวัติศาสตร์โลก

10 เรื่องสุดลี้ลับในประวัติศาสตร์โลก



1. Shanti Devi : เด็กสาวระลึกชาติ
ปี 1930 ด.ญ.ชานติ เทวี อายุ 4 ขวบ ภูมิลำเนาอยูที่นิวเดลี ประเทศอินเดีย ออกมาอ้างว่า ชาติก่อนตัวเองได้ตายลงหลังจากคลอดลูกได้ 10 วัน แล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ ซึ่งสามีและลูกในชาติที่แล้ว ตอนนี้ก็ยังอาศัยอยู่ที่เมือง Mathura ซึ่งห่างจากเดลีเพียง 145 กม. แถมตอนอายุ 6 ขวบ เธอยังเคยหนีออกจากบ้านเพื่อจะไปที่เมืองดังกล่าวด้วย ทีแรกพ่อแม่ก็คิดว่า ลูกตัวเองคงจะบ้าแน่ๆ จึงนำตัวไปให้หมอตรวจอาการ แต่เธอกลับเล่าเรื่องชาติก่อน ตั้งแต่เรื่องสามียันคลอดลูกซะละเอียดยิบ จนหมอเองก็ยังงงเต็ก สรุปอาการให้ชานติไม่ได้ สุดท้ายญาติๆ จึงลองออกไปตามหาผู้ชายที่เธออ้างว่าเป็นสามีในชาติก่อน แล้วก็ตะลึงกันทั้งหมู่บ้าน เพราะดันเจอเข้าจริงๆ ตามที่เธอบอกแบบเป๊ะๆ เสียด้วย !!!


ชายผู้นั้นมีชื่อว่า Kedar Nath มีอาชีพเป็นพ่อค้า ซึ่งภรรยาชื่อ Lugdi Devi ได้ตายลงเมื่อ 9 ปีที่แล้ว เธอตายหลังคลอดลูกชายได้เพียง 10 วัน... นี่มันตรงกับที่ชานติพูดทุกประการ !!!
ต่อมา Kedar Nath ได้ปลอมตัวเข้ามาที่เดลีพร้อมลูกชาย เมื่อชานติได้เห็นเข้า เธอก็จำได้ทันทีว่านี่คือสามีและลูกของเธอในชาติก่อน แถมยังสามารถบอกรายละเอียดชีวิตของ Kedar Nath และลูกชายได้ละเอียดยิบ จน Kedar เองก็เริ่มจะยอมรับแล้วว่า นี่คือเมียรักกลับชาติมาเกิด
ว่ากันว่า (ไม่รู้จริงเท็จแค่ไหน) เรื่องนี้ร่ำลือไปถึงหูของมหาตมะคานธี จึงได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อพิสูจน์ความจริงขึ้น คณะทั้งหมดพร้อมชานติได้เดินทางจากเดลีไปที่ Mathura เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 1935 ซึ่งชานติก็สามารถจดจำสมาชิกในครอบครัวดังกล่าวได้ครบทุกคน ไล่ตั้งแต่ปู่ของ Lugdi Devi และรายละเอียดยิบย่อยต่างๆ ได้ครบถ้วน จนภายหลังคณะกรรมการก็ได้สรุปว่า ชานติ คือ Lugdi Devi กลับชาติมาเกิดจริง!
ชานติ เทวี เปิดเผยเรื่องราวชีวิตของเธออีกครั้งในช่วงปลายทศวรรษ 1950s และอีกครั้งหนึ่งในปี 1986 จากการสัมภาษณ์ของ เอีย สตีเฟนสัน  (จิตแพทย์ชื่อดังชาวแคนาดา) และ K.S. Rawat ก็ได้ทำการสืบสวนเรื่องนี้ในปี 1987 ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเพียง 4 วันก่อนหน้าที่ชานติจะเสียชีวิตลงในวันที่ 27 ธ.ค. 1987… อ่านแล้ว อึ้งใช่มั้ยล่ะ?



2. Crystal Skulls : กะโหลกแก้วแห่งอนาคต
หัวกะโหลกชิ้นนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งชาติอังกฤษได้มาไว้ในครอบครองเมื่อปี 1898 ว่ากันว่าเป็นอารยธรรมแห่งอดีต ถ้าใครได้ครอบครองครบ 13 หัว คนๆ นั้นจะได้รับอำนาจถึงขนาดเป็นผู้ครองโลกกันเลยทีเดียว แต่แท้จริงแล้ว เมื่อมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็กลับพบความจริงว่า หัวกะโหลกนี้เป็นของที่ทำเลียนแบบในศตวรรษที่ 19 เท่านั้น เรื่องทำท่าจะจบลงด้วยความน่าเบื่อ แต่ต่อมามีก็ดันการค้นพบกะโหลกเพิ่มขึ้นอีกหลายหัว เช่น กะโหลกของมิทเชลล์-เฮดจ์ส ที่เมืองโบราณลูบานทูมในบริติชฮอนดูรัส (ปี 1924), กะโหลกของลามะทิเบตซึ่งภายหลังถูกส่งต่อให้โจแอน พาร์คส์ ที่เป็นลูกศิษย์ และกะโหลกที่ขุดพบโดยนิค จากเมืองโบราณในเม็กซิโก โดยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันว่า ถ้าได้จ้องตากับหัวกะโหลกจะมองเห็นภาพในอนาคต สามารถไขคำตอบปริศนาต่างๆ ได้มากมาย หรือแม้แต่คำทำนายต่างๆ ของเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เลยทีเดียว... ส่วนจะจริงหรือเปล่านั้น คงต้องไปนั่งจ้องตากันสักรอบ


3. Bermuda Triangle : สามเหลี่ยมอาถรรพณ์
สามเหลี่ยมเบอร์มิวดา เป็นเขตอาถรรพณ์ที่อยู่กลางมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ มีพื้นที่ประมาณ 4.4 แสนตารางไมล์ เชื่อมต่อกัน 3 จุด คือ เปอร์โตริโก, ปลายสุดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐอเมริกา และเกาะเบอร์มิวดา ลือกันว่าเรือที่แล่นผ่านน่านน้ำ หรือเครื่องบินที่บินผ่านน่านฟ้าของสามเหลี่ยมเบอร์มิวดานั้น ต่างก็หายวับไปกับหมอกและควัน ค้นหากันเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ จนหลายคนเชื่อว่ามันได้ทะลุออกไปอีกมิติหนึ่ง ความจริงแล้ว นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพยายามอธิบายด้วยทฤษฎีที่ว่า สามเหลี่ยมเบอร์มิวดาเป็นพื้นที่ๆ มีความแปรปรวนของสนามแม่เหล็กโลกค่อนข้างสูง ระบบนำทางของเครื่องบินและเรือในยุคก่อนๆ ยังอิงกับสนามแม่เหล็กโลก พอเจอความแปรปรวนก็เลยหลงทาง และในปัจจุบันเมื่อมีระบบ GPS ปัญหาเครื่องบินและเรือล่องหนในสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย... ทฤษฎีนี้ดูเหมือนจะใช้ได้ดี และเรือรบกับเครื่องบินหลายลำก็ถูกพบว่าตกอยู่ที่นั่นที่นี่เพราะหลงทางจริง แต่ในขณะเดียวกัน ยังมีอีกหลายลำที่ยังตามหาซากไม่พบ สุดท้ายก็เลยยังคงเคลียร์ได้ไม่เต็มร้อย ทิ้งให้เป็นปริศนาลี้ลับกันต่อไป



4. Rongorongo : อักขระโบราณบอกเล่าภัยพิบัติจากพลังพลาสมา?
รองโกรองโก้ หรือ โรโงโรโง คือจารึกอักษรภาพบนแผ่นไม้ที่ปักบนหลุมศพ รวมกว่า 20 แผ่น ถูกพบที่เกาะอีสเตอร์ กลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในศตวรรษที่ 19 ลักษณะของอักษรมีรูปร่างแปลกๆ บางตัวเหมือนรูปคน บางตัวเหมือนรูปสัตว์ในท่าทางต่างๆ กัน ซึ่งในช่วงแรกยังไม่มีใครแปลความหมายของมันได้
ต่อมาในปี 2010 Robert M. Schoch นักวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่ง College of General Studies at Boston University ได้เดินทางไปทำงานวิจัยบนเกาะอีสเตอร์ และศึกษารูปแบบของจารึก Rongorongo ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ มันทำให้เขานึกถึงงานวิจัยของ Anthony L. Peratt นักฟิสิกส์ชาวอเมริกันที่ศึกษาเรื่องรูปแบบของพลาสมาในชั้นบรรยากาศโลก... เพราะมันคล้ายคลึงกันมาก!
นอกจากนี้แล้ว Schoch ยังพบว่าอักขระ Rongorongo มันมีความคล้ายกับภาพสลักดึกดำบรรพ์บนผนังถ้ำทั่วโลก หรือแม้แต่ภาพสลักขนาดยักษณ์บนที่ราบสูงนาซคาด้วย ซึ่งมันน่าจะบอกเล่าเรื่องราวอะไรสักอย่างที่เคยเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งข้อมูลในงานวิจัยของ Peratt ก็บอกว่าในช่วง 8,000 – 10,000 ปีที่ผ่านมา ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยพลังงานจากพลาสม่าจำนวนมหาศาลด้วย
เมื่อศึกษาข้อมูลจากหลายๆ งานวิจัยมากๆ เข้า Schoch จึงตั้งข้อสันนิษฐานได้ว่า Rongorongo น่าจะเป็นอัขระที่บันทึกเรื่องภัยพิบัติที่เกิดจากพายุพลาสม่า ซึ่งดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก ซึ่งทำให้มนุษย์โฮโมซาเปียนในยุคนั้นต้องหลบเข้าไปอาศัยในถ้ำ หรือนำหินมาซ้อนทับกันใต้หน้าผา ก่อนที่โลกจะเข้าสู่ยุคมืดมนนานนับพันปี จนอารยธรรมเหล่านี้ต่างสาบสูญไปหมด
นั่นเป็นเพียงข้อสันนิษฐาน และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีงานวิจัยใดที่จะไขปริศนาได้อย่างแน่นอว่า แท้จริงแล้วจารึก Rongorongo คืออะไรกันแน่?



5. Devil’s Footprints : รอยเท้าปีศาจ
รอยเท้าที่ไม่สามารถระบุว่าได้เป็นตัวอะไร ขนาดยาว 4 นิ้ว กว้าง 2 นิ้ว พบทั้งทางตะวันออกและทางใต้ของแคว้นเดวอน สหราชอาณาจักร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1855 มันเป็นรอยเท้าแนวเดี่ยวที่เกิดขึ้นหลังพายุหิมะ เป็นรูปเท้าแต่ละข้างที่เหยียบซ้ำรอยเดิม มีระยะห่างเท่ากัน เดินเป็นเส้นตรงกว่า 100 ไมล์ ซึ่งเป็นเส้นทางที่ต้องผ่านทั้งสวน หลังคาบ้าน กองฟาง หรือแม้แต่กำแพงสูง แต่ของเหล่านั้นกลับไม่มีร่องรอยใดๆเลย เหมือนกับว่ามันเดินผ่านทะลุเข้าไปทั้งๆอย่างนั้น หลายคนจึงมโนว่า ไอ้นี่มันเป็นรอยเท้าปีศาจชัดๆ ชาวบ้านต่างหวาดกลัวพากันออกลาดตระเวนแกะรอยเท้า แต่ก็ไม่เคยพบอะไรเลย ต่อมาในวันที่ 12 มีนาคม 2009 ปรากฏรอยเท้าขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่มีใครตอบได้อีกเหมือนเดิมว่ามันคือตัวอะไรกันแน่



6. The Bog Bodies : ศพในบ่อโคลน
เป็นศพที่ถูกรักษาด้วยวิธีทางธรรมชาติ ไร้สารเคมีใดๆ เข้ามาเอี่ยว โดยพบในบ่อโคลนทางตอนเหนือของยุโรป เกาะอังกฤษ และประเทศไอร์แลนด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่น้ำมีความเป็นกรดสูง อุณหภูมิต่ำ และขาดออกซิเจน ทำให้สภาพศพยังคงเดิม ยกเว้นกระดูกที่ถูกละลาย และผิวหนังแห้งไหม้เกรียมเป็นสีน้ำตาล ศพที่พบส่วนใหญ่จะถูกฆ่า แทง ตีด้วยกระบอง รัดคอ เหมือนกับว่าเป็นการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือบูชายัญอะไรสักอย่าง ทีมนักวิจัยเรื่องนี้สันนิษฐานว่า น่าจะมีอายุอยู่ระหว่าง 9,000 ปีก่อนคริสตศักราช จนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และกำลังอยู่ระหว่างหาข้อสรุปที่น่าจะเป็นไปได้ที่สุดอยู่ว่า มัมมี่พวกนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร



7.The Voynich manuscript : ข้อเขียนปริศนา
The Voynich manuscript หรือข้อเขียนวอยนิช ตั้งชื่อตาม “วิลฟริด เอ็ม. วอยนิช” (Wilfrid M. Voynich) พ่อค้าหนังสือเก่าเชื้อสายโปลลิชอเมริกัน ซึ่งเป็นผู้ที่ได้หนังสือเล่มนี้มาในปี 1912 และมหาวิทยาลัยเยลได้ทำรวบรวมก่อนจะพิมพ์ฉบับจำลองขึ้นเผยแพร่เมื่อปี 2005
ข้อเขียนวอยนิช มีลักษณะเป็นหนังสือประกอบภาพที่มีความซับซ้อนสูง  เชื่อว่าน่าจะถูกเขียนขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 โดยยังไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนเขียน หรือเนื้อหาภายในนั้นพูดถึงอะไร เนื่องจากมันมีรหัสหรือภาษาที่ไม่มีใครรู้จัก มันเป็นหนังสือที่นักรหัสวิทยา ทั้งฝั่งอเมริกาและอังกฤษให้ความสนใจกันมาก ต่างคนต่างพยายามจะแกะเนื้อหาออกมาให้ได้ แต่จนถึงตอนี้ก็ยังไม่สำเร็จ จนถึงขั้นมีคนบอกว่า มันอาจจะเป็นแค่ข้อเขียนมั่วๆ ที่ถูกทำขึ้นมาเพื่อหลอกให้เราปวดหัวเล่นเท่านั้นก็ได้!




8. Aokigahara : ป่าฆ่าตัวตาย
อะโอะกิงะฮะระ ป่าบริเวณเชิงภูเขาฟูจิด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ประเทศญี่ปุ่น สถานที่ยอดฮิตของคนญี่ปุ่นทุกเพศทุกวัยที่นิยมแห่กันมาฆ่าตัวตายกันที่ป่านี้  ถึงแม้จะเป็นป่าที่ใช้สำหรับฆ่าตัวตายแต่มันกลับเป็นจุดท่องเที่ยวที่นิยมในขณะเดียวกัน นายอาซูสะ ฮายาโนะ นักธรณีวิทยา ผู้ศึกษาแรงจูงใจของผู้ที่ต้องการฆ่าตัวตายในป่านี้เป็นเวลา 30 ปีคาดว่า ที่หลายคนเลือกที่นี่ในการจบชีวิตอาจเป็นเพราะที่นี่เคยใช้เป็นฉากฆ่าตัวตายในนวนิยาย แต่ก็ไม่อาจทราบสาเหตุ แรงจูงใจที่แน่ชัดได้ว่าทำไมถึงเลือกป่าแห่งนี้เป็นสถานที่สุดท้าย ทำได้แต่เพียงวิเคราะห์ว่าตอนก่อนตายคิดอย่างไรเท่านั้นเอง



9. Overtoun Bridge : สะพานสุสานสุนัข
ไม่เพียงแต่คน สุนัขก็ยังมีเรื่องทุกข์ให้นึกฆ่าตัวตาย ที่สะพานโค้งในมิลตัน, ดัมบาร์ดัน ประเทศสก็อตแลนด์ เป็นจุดที่สุนัขมักจะมาฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดพาตัวเองพุ่งลงจากสะพาน โดยเชื่อว่าเป็นคำสาปจากเด็กหญิงที่โดนโยนลงจากสะพาน ซึ่งคนที่โยนนั้นก็มีพฤติกรรมอยากฆ่าตัวตาย (แล้วทำไมมันไม่โดดเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน) อย่างไรก็ตาม สมาคมป้องกันการทารุณสัตว์ส่งคนเข้ามาตรวจสอบและพบว่า บริเวณสะพานมีหนูและตัวมิงค์อยู่เยอะ ซึ่งกลิ่นของมันคงไม่เป็นที่ต้องการของพวกสุนัข ถึงได้พากันโดดลงจากสะพานกันเป็นว่าเล่น...งานนี้เลยกลายเป็นเรื่องกลิ่นตัวแทนเรื่องลึกลับซะงั้นน่ะ 



10. SS Ourang Medan : รหัสลับก่อนตาย
เดือนกุมภาพันธ์ 1948 มีคนได้รับข้อความขอความช่วยเหลือจากเรือบรรทุกสินค้าของชาวดัตช์ ข้อความว่า “All officers including captain are dead lying in chartroom and bridge Possibly whole crew dead. (เจ้าหน้าที่ทุกคนรวมทั้งกัปตัน นอนตายอยู่ในห้องนั่งเล่นและสะพานเรือ เป็นไปได้ว่าลูกเรือทั้งหมดตายแล้ว)” และพอขึ้นไปบนเรือก็พบว่า กัปตันรวมทั้งลูกเรือตายกันเกลื่อน ไม่เว้นแม่แต่สุนัข โดยทุกศพตาเบิกโพลงคล้ายหวาดกลัวอย่างสุดขีด จ้องมองไปยังดวงอาทิตย์ บางศพยกมือชี้ไปยังอะไรบางอย่างด้วย
สาเหตุการตายของสิ่งมีชีวิตบนเรือยังคงเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ บ้างก็สันนิษฐานว่า เกิดจากการโดนก๊าซพิษคาร์บอนมอนน็อกไซด์ บ้างก็บอกว่าบนเรือบรรทุกสารพิษแล้วเกิดรั่วไหลออกมากลางทาง หรือบางคนก็บอกว่าเป็นเพราะมนุษย์ต่างดาว... ยังไม่มีใครรู้ว่า แท้จริงแล้วมันเกิดจากอะไร
SHARE

holidaydeal

  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
  • Image
    Blogger Comment
    Facebook Comment